Crane Pad / Hardstand
หลังจากหายไปหลายวัน วันนี้ขอเล่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ HS (Hardstand)
HS จะต้องออกแบบให้มีพื้นที่เพียงพอในระหว่างการกองเก็บวัสดุ อุปกรณ์ระหว่างการขนส่งและติดตั้งกังหันลม สิ่งที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้
1. กำลังรับน้ำหนักแบกทาน (Bearing capacity) ในขณะทำการยกติดตั้งชิ้นส่วน ซึ่งควรพิจารณาร่วมกับแผนการยก (Lifting Plan) เพื่อจะได้กำหนดจุดหรือขนาดพื้นที่ที่ต้องการในการยก ซึ่งจะต้องมีกำลังแบกทานของดินสูงกว่าบริเวณอื่นๆ เช่น บริเวณที่ Tower crane ตั้งอยู่นั้นจะต้องมีกำลังแบกทานของดินที่ 200 kN/sq.m. ส่วนพื้นที่กองเก็บวัสดุ หรือเตรียมงานอาจจะต้องการเพียง 100 kN/sq.m. การวางแผนการใช้พื้นที่ (Utilization plan) จะช่วยให้สามารถประหยัดงบประมาณในการก่อสร้างได้มาก
2. ทางเข้า (Access road) จะต้องพิจารณาตำแหน่ง ขนาด และ มุมเลี้ยว ไม่ให้มีอุปสรรค (Obstruct) กีดขวาง เนื่องจากในการขนส่งอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงลำดับการส่งชิ้นส่วนเข้ามาในหน่วยงานได้
3. พื้นผิวชั้นบน ซึ่งปกติแล้วจะเป็นผิวหินคลุก จะมีข้อกำหนดให้ทำการปรับระดับให้ลาดเอียง เพื่อป้องกันน้ำขัง แต่ถ้าระดับลาดเอียงมากเกินไป ก็จะกระทบกับ Tower crane ในส่วนนี้ควรตรวจสอบข้อกำหนดของการติดตั้ง ซึ่งอาจกำหนดไว้เป็น 1% ทิศทางการปรับลาดเอียงนั้นถ้าปรับไปทิศทางเดียวจะทำให้เกิดความแตกต่างของค่าระดับระห่าวงปลายด้านไกลทั้งสองด้านมาก ดังนั้นหากสามารถแบ่งให้ลาดเอียงออกจากแนวศูนย์กลางของฐานรากได้ ก็จะลดความแตกลงได้ครึ่งนึง
4. เสถียรภาพของ HS (Slope stability) การออกแบบระยะลาด ให้มีเสถียรภาพโดยโครงสร้างของชั้นดินเอง จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงเสถียรภาพได้ แต่ระยะลาดอาจจะไกลออกไปจากขอ HS
5. การป้องกันการกัดเซาะ (Erosion protection) สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชคลุมลาดดิน การใช้ผ้าห่มดิน (Erosion blanket) หรือการดาดด้วยคอนกรีต (Concrete lining)
BOP Wind Farm
วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2562
BALANCE OF PLANT (BOP)
จากประสบการณ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งได้มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงสิ้นสุด เลยขอรวบรวมองค์ประกอบส่วนต่างๆโรงไฟฟ้าพลังงานลมว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งจะเขียนในรายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละส่วนต่อไป
- สำนักงานและลานเก็บอุปกรณ์ (Site office & lay down area)
- ถนนภายในโครงการ(Access road)
- ระบบระบายน้ำ (Drainage)
- สถานีไฟฟ้า (Electrical substation)
- ระบบจัดเก็บไฟฟ้า (Collecting system)
- ระบบควบคุมและเก็บข้อมูล (Supervisory Control and Data Acquisition, SCADA)
- สถานีวัดลมชั่วคราว (Temporary Meteorological Mast, TMM)
- สถานีวัดลมถาวร (Permanent Meteorological Mast, PMM)
- ฐานรากกังหันลม (Wind turbine foundation)
- ลานประกอบและติดตั้ง (Crane pad and hardstand)
- ระบบจำหน่ายไฟฟ้าไปยังผู้รับซื้อ (Transmission line)
- อาคารสำนักงานและซ่อมบำรุง Operation and maintenance building)
(ไว้จะมาใส่รูปแต่ละส่วนให้ดูนะ😛)
ถนนสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Road for Wind Farm)
ถนนจะต้องถูกออกแบบให้สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ทั้งในระหว่างการก่อสร้าง และตลอดจนอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้า
ระหว่างการก่อสร้าง จะต้องออกแบบให้สามารถขนส่งอุปกรณ์ ทั้งในส่วนของกังหันลม และการก่อสร้างอื่นๆได้ ขนาดความกว้าง, รัศมีโค้ง, ความยาวโค้งดิ่ง และโค้งราบ, กำลังรับน้ำหนักของถนน เป็นต้น
ระหว่างอายุการใช้งานของโรงไฟฟ้า ควรพิจารณาให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลา เพราะอาจมีความจำเป็นจะต้องมีการขนส่งอุปกรณ์ (components) เช่น ใบพัด ของกังหันลม เพื่อเปลี่ยนในกรณีที่เกิดความเสียหายจากฟ้าผ่าได้ และจะต้องสามารถขนส่งได้ทั้งขาเข้า และขาออก
การออกแบบถนนสำหรับงานโรงไฟฟ้าพลังงานลมนั้น จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมในด้าน ระยะกวาดใบพัด (swept path) ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตามความยาวของใบพัด โดยจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางในบริเวณที่ใบพัดจะกวาดในระหว่างการเลี้ยว ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้จากข้อกำหนดของผู้ผลิตกังหันลม เช่น จะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางที่สูงเกินกว่า 2 เมตร จากผิวจราจร และจะต้องมีระยะห่างจากขอบถนนเป็นระยะกี่เมตร และจะควรพิจารณาระยะปลอดภัยเพิ่มเติมอีกดวย (safety clearance) นอกจากนั้นจะต้องตรวจสอบสิ่งกีดขวางในแนวดิ่งด้วย จากประสบการณ์การควบคุมโครงการที่ผ่านมา ระยะปลอดภัยในแนวดิ่งนั้น ได้ทำการยกสายไฟฟ้าในเส้นทางขนส่งภายในชุมชนโดยให้มีระยะปลอดภัยที่ 8 เมตร เพื่อให้การขนส่งสามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการหยุดรอ
การสำรวจก่อนการออกแบบถนน
1. การสำรวจสภาพภูมิประเทศ (topographic survey) เก็บข้อมูลสภาพภูมิประเทศโดยรวม, ถนนที่เชื่อมต่อกับถนนโครงการ, ต้นไม้, สะพาน, ค่าระดับทั้งในแนวถนนและที่ดินติดถนนตลอดแนว, เสาไฟฟ้า หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ และแนวคูคลอง ลำน้ำเดิม
2. การทดสอบกำลังรับน้ำหนักเส้นทางเดิม เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมมักจะตั้งอยู่สถานที่ห่างไกล หรือบนภูเขา การก่อสร้างถนนสำหรับโครงการจึงเป็นชนิดแบบถนนหินคลุก หรือถนนดิน (unbound road) เพื่อให้งบประมาณไม่สูงเกินไปนัก การทดสอบกำลังรับน้ำหนักของถนนเดิมจะช่วยให้ผู้ออกแบบสามารถพิจารณาการคัดเลือกวัสดุและความหนาโครงสร้างชั้นทางได้อย่างเหมาะสม
การสำรวจก่อนการออกแบบถนน
1. การสำรวจสภาพภูมิประเทศ (topographic survey) เก็บข้อมูลสภาพภูมิประเทศโดยรวม, ถนนที่เชื่อมต่อกับถนนโครงการ, ต้นไม้, สะพาน, ค่าระดับทั้งในแนวถนนและที่ดินติดถนนตลอดแนว, เสาไฟฟ้า หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ และแนวคูคลอง ลำน้ำเดิม
2. การทดสอบกำลังรับน้ำหนักเส้นทางเดิม เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมมักจะตั้งอยู่สถานที่ห่างไกล หรือบนภูเขา การก่อสร้างถนนสำหรับโครงการจึงเป็นชนิดแบบถนนหินคลุก หรือถนนดิน (unbound road) เพื่อให้งบประมาณไม่สูงเกินไปนัก การทดสอบกำลังรับน้ำหนักของถนนเดิมจะช่วยให้ผู้ออกแบบสามารถพิจารณาการคัดเลือกวัสดุและความหนาโครงสร้างชั้นทางได้อย่างเหมาะสม
(หัดเขียนบล็อกใหม่ๆก็งี้ มันจะงงๆหน่อย เดี๋ยวค่อยเข้ามาแก้ ใหม่😁😉)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)